20. ภาพรวมกลไกการทำงานของภาคพระและภาคมารที่มีต่อสัตว์โลก

ภาพรวมกลไกการทำงานของ

ภาคพระและภาคมารที่มีต่อสัตว์โลก

Compiled by Pittaya Wong

www.meditation101.org



      1.      มนุษย์และสัตว์เกิดมามีชีวิตอยู่ในโลก (ส่วนว่ามนุษย์และสัตว์มาจากไหน กรุณาอ่านบทความอื่นๆ ใน www.meditation101.org ประกอบกัน)

      2.      มนุษย์และสัตว์แต่ละตน ล้วนมีภาคผู้เลี้ยงสถิตอยู่ภายใน โดยแบ่งเป็น ภาคผู้เลี้ยงฝ่ายดี ภาคผู้เลี้ยงฝ่ายชั่ว และภาคผู้เลี้ยงฝ่ายไม่ดีไม่ชั่ว

      3.      พระต้นธาตุต้นธรรมของฝ่ายพระหรือฝ่ายขาว ควบคุมเครื่องธาตุเครื่องธรรม ส่ง คุณธรรม มาตามสายธาตุสายธรรม ตามลำดับ เพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจของมนุษย์และสัตว์ เพื่อให้มนุษย์และสัตว์ คิดดี พูดดี ทำดี

      4.      พระต้นธาตุต้นธรรมของฝ่ายมารหรือฝ่ายดำ คุมเครื่องธาตุเครื่องธรรม ส่ง กิเลส มาตามสายธาตุสายธรรม ตามลำดับ เพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจของมนุษย์และสัตว์ เพื่อให้มนุษย์และสัตว์ คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว

      5.      พระต้นธาตุต้นธรรมฝ่ายอัพยากฤต ส่งมาลักษณะเดียวกัน ตามลำดับ ให้คิดไม่ดีไม่ชั่ว พูดไม่ดีไม่ชั่ว ทำไม่ดีไม่ชั่ว

      6.      ในขณะเดียวกัน ฝ่ายพระ ฝ่ายมาร ฝ่ายอัพยากฤต นับตั้งแต่พระต้นธาตุต้นธรรมเป็นต้นมา ต่างก็ส่งวิชชา มาปรุงแต่งสิ่งต่างๆ ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์และสัตว์บนโลกนี้ ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ อันประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ เกิดเป็น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เพื่อให้มนุษย์และสัตว์ ได้ เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส และได้คิดปรุงแต่งในใจ โดยนัยนี้ เป็น สิ่งปรุงแต่งภายนอกตัว มนุษย์ และสัตว์

      7.      เมื่อมนุษย์และสัตว์ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส และได้คิดปรุงแต่ง ภาคผู้เลี้ยงแต่ละฝ่ายภายในตัว ก็แย่งกันส่ง คุณธรรม / กิเลส มาในใจ เพื่อ “จูน” ให้สอดรับกันกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่เกิดขึ้นภายนอก

      8.      เมื่อภายใน และภายนอก ทำงานร่วมกันดังนี้แล้ว ถ้าฝ่ายใด (พระ/มาร/อัพยากฤต) มีกำลังมากกว่า มนุษย์และสัตว์ ก็คิด พูด ทำ ไปในทิศทางนั้น คือ ดี/ชั่ว/ไม่ดีไม่ชั่ว

      9.      เพื่อคิด, พูด, ทำ ตามนั้นแล้ว ก็เกิดเป็นกรรม ภาคผู้เลี้ยงที่อยู่ในตัว ก็จะเก็บเหตุ ส่งกลับไปตามสายธาตุสายธรรม

-          จนถึงเครื่องธาตุเครื่องธรรม (ในกรณีฝ่ายพระ) ประมวลเป็นคุณธรรม และบุญบารมี และผังสำเร็จที่จะเป็นอานิสงส์พึงได้ (ในกรณี คิด พูด ทำ ที่ดี)

-          หรือ จนถึงเครื่องธาตุเครื่องธรรม (ฝ่ายมาร) ประมวลเป็นกิเลส และบาป และผังสำเร็จที่จะเป็นอานิสงส์พึงได้ (ในกรณี คิด พูด ทำ ไม่ดี)

-          แล้วส่งผ่านสายธาตุสายธรรม กลับมายังมนุษย์และสัตว์นั้น เพื่อเก็บไว้กลางกาย รอเวลาส่งผล

      10.  หากมนุษย์หรือสัตว์ คิด พูด ทำ ในทางดีบ่อยๆ แล้ว ก็จะได้รับ คุณธรรม บุญบารมี และผังผลานิสงส์กรรมดี อยู่เรื่อยๆ ซึ่งจะหนุนเนื่องอยู่ในจิตใจให้สูงส่งยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ถ้า คิด พูด ทำ ในทางชั่วบ่อยๆ กิเลส บาป และกรรมชั่ว ก็หนุนเนื่องอยู่ในจิตใจให้ตกต่ำลงเรื่อยๆ ถ้าทำทั้งดี ทั้งชั่ว ปะปนกัน ก็จะผสมๆ กันไป  

      11.  โดยนัยนี้ ถ้ามนุษย์หรือสัตว์ ได้สั่งสมบุญในตัวมากพอ ประกอบกับผังสำเร็จอันเป็นผลานิสงส์ ก็จะได้ไปสวรรค์ พรหมโลก หรือตราบกระทั่งเข้าสู่พระนิพพานเป็นที่สุด ในทางตรงกันข้าม ถ้ามนุษย์หรือสัตว์ สั่งสมบาปในตัวมากกว่า ประกอบกับผังสำเร็จอันเป็นผลานิสงส์ ก็มีแนวโน้มว่าจะได้ไปสู่อบาย มีโลกันตนรกเป็นที่สุด ในทำนองนี้ มนุษย์และสัตว์บางตน สามารถสั่งสมบุญได้มาก บางตนสั่งสมบาปได้มาก บางตนสั่งสมได้ทั้งบุญและบาป บางตนมีชีวิตอยู่อย่างไม่ดีไม่ชั่ว ไม่บุญไม่บาป

      12.  โดยสรุป มนุษย์และสัตว์ที่อยู่ในวัฏสงสาร ต้องประสบกับ “แรงกระตุ้นจากภายในตัว และแรงดึงดูดภายนอกตัว”  ซึ่งเกิดจากธาตุธรรมทั้งสามฝ่าย เพื่อให้คิดดี พูดดี ทำดี เกิดเป็นบุญกุศล แล้วได้ไปสวรรค์ ไปนิพพาน หรือคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว เกิดเป็นบาปอกุศล ได้ไปอบาย มีโลกันตรนรกเป็นที่สุด หรือ คิดไม่ดีไม่ชั่ว พูดไม่ดีไม่ชั่ว ทำไม่ดีไม่ชั่ว ไม่ได้ไปสวรรค์ ไม่ได้ไปอบาย ตายไปแล้วส่วนใหญ่ก็เป็นสัมภเวสีผีเร่ร่อน

 

Credit:  www.dhammacenter.org