30. ครูสรรพวิชากับสติปัญญาสามารถ

ครูสรรพวิชากับสติปัญญาสามารถ

โดย พิรจักร ทิศุธิวงศ์ สุวพรรดิเดชา

www.meditation101.org

28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563


มีผู้ที่ติดตามผลงานทางโซเชียลมีเดียและเว็บไซท์ของผมสังเกตเห็นว่า ระยะหลังๆ มานี้ “รจนาศิลป์” หรือ Quote ของผมนั้น ดีขึ้นมาก และนำเสนอได้อย่างน่าสนใจ ถึงขั้นน่าอัศจรรย์ใจ ก็เลยถามผมมาตรงๆ ประมาณว่า เกิดอะไรขึ้น ทำอย่างไรจึงพัฒนาได้แบบก้าวกระโดด?

ซึ่งการที่จะตอบคำถามนี้ ผมก็ขออ้างถึงผลงานก่อนว่า ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นภาษาอังกฤษครับ ผลงานภาษาไทยนั้นผมทำแบบ “ลำลอง” ให้อ่านเล่นๆ เพราะบางทีทำต้นฉบับภาษาไทยไว้ ก็เลยแบ่งมาเผยแพร่บ้าง แต่ก็ไม่คิดว่าจะให้ชาวไทยหันมาสนใจอะไรกันมาก มีไว้ให้พอรู้ว่าผมนำเสนออะไรในเว็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รจนาศิลป์” หรือ Quote นั้น ภาคภาษาอังกฤษมีนับร้อยๆ เกือบพันอย่าง ส่วนภาษาไทยมีไม่ถึงสิบครับ

Quote ของผมนั้น “คิดเป็นภาษาอังกฤษ” ไม่ได้คิดเป็นไทยแล้วค่อยแปลครับ โดยผมเริ่มฝึกเขียน Quote มาตั้งแต่หลังลาสิกขาจากการบวชเป็นพระที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ อยู่ว่างๆ ก็เขียน Quote โดยแรกๆ นั้น Quote ของผมเป็นการนำเสนอแบบ wordy คือใช้คำเฝือมาก แล้วความคิดก็ยังไม่เฉียบคม มีลักษณะเป็นประโยคยาวๆ ที่สรุปหลักการทางธรรมซึ่งผมได้เรียนรู้และปฏิบัติอยู่ เป็น Quote เชยๆ ที่อ่านแล้วชวนให้รู้สึกไม่น่าสนใจ (ขนาดตัวผมเองก็ยังคิดอย่างนั้นครับ) แต่ผมโพสต์เข้าเว็บแล้ว ก็ไม่ลบ ก็ปล่อยไว้ให้ผู้ศึกษาได้ดูเปรียบเทียบกัน

เมื่อผมฝึกเขียน Quote ไปได้หลายร้อยข้อแล้ว ประมาณห้าหกร้อย ควบคู่ไปกับการเดินงาน ประกอบกับการใช้ประกาศิต ผมก็ได้ “สาย ฆา” ซึ่งเป็นสายบุญจากการเล่นประกาศิต (เล่นประกาศิตคืออะไร ให้ดูบทความเกี่ยวกับประกาศิตครับ) หลังจากที่ผมเล่นประกาศิตกระทั่งได้ขั้นสูงพอสมควร และได้สาย-ฆาขั้นสูง เป็นการตอบแทนพอสมควรแล้ว ก็ได้มีการแบ่งสาย-ฆาให้กับครูบาอาจารย์ผู้เคยอบรมสั่งสอนให้ความรู้ผมในระดับต่างๆ โดยเดิมทีก็ไม่ได้คิดว่าจะมีผลอะไรมาก แค่อยากตอบแทนครูบาอาจารย์บ้างครับ

ปรากฏว่าเมื่อครูบาอาจารย์ได้สาย-ฆา กันแล้ว ส่วนละเอียดของท่านก็รู้สึกพึงพอใจกันมาก และส่วนละเอียดของครูบาอาจารย์ ท่านก็สำเร็จเป็น “ผู้เลี้ยงผู้รักษา” กันไป ซึ่งจัดว่าเป็นเทวดาประเภทหนึ่งซึ่งคอยดูแลวิชาความรู้ ในกรณีที่เป็นครู หรือดูแลรักษาประเทศชาติบ้านเมือง ในกรณีที่เป็นผู้ปกครองประเทศ อย่างพระมหากษัตริย์ มหาอำมาตย์ นายกรัฐมนตรี ฯลฯ

เมื่อครูท่านสำเร็จเป็นผู้เลี้ยงผู้รักษาแล้ว ท่านก็มีพลังมากขึ้น จากสาย-ฆา ที่ผมมอบให้ ท่านก็เลยคอยประสิทธิ์ความรู้ให้ผมมากขึ้น กล่าวคือ โดยปกติ ครูที่ประสิทธิ์ความรู้อาจจะมีส่วนประมาณ 5 ใน 100 ของงานสำหรับคนทั่วไปที่มีการศึกษา แต่ครูของผมสำเร็จเป็นเทพผู้รักษาความรู้ มีกำลังประสิทธิ์วิชามากขึ้นถึง 15 – 30% ของงาน ซึ่งการประสิทธิ์วิชานั้น มีลักษณะคล้ายจิตใต้สำนึกลึกๆ ที่ทำให้เราระลึกนึกขึ้นมาได้ เช่น พอเราจะทิ้งขยะลงข้างทาง ครูที่เคยสอนเราสมัยเด็กๆ ก็จะมากระตุ้นจิตใต้สำนึกของเราว่า อย่าทิ้งแบบนี้ ให้ทิ้งในถังขยะ หรือเมื่อเรารับฝากซื้อของ แล้วต้องทอนเงิน ครูสอนวิชาบัญชี ก็จะกระตุ้นจิตใต้สำนึกของเราว่า ต้องทอนให้ครบถ้วนทุกบาททุกสตางค์ โดยเช็ครายจ่ายให้ถูกต้องตรงตามจริง ซึ่งครูที่มาบอก ก็ยังมีชีวิตอยู่ หรือเสียชีวิตแล้ว แต่กายมนุษย์หยาบ หรือกายเทวดาของท่านไม่ได้มาบอก แต่เป็นกาย “วิญญาณครู” ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีก เหมือนคนบางคนที่ตายแล้วฟื้น เล่าให้ฟังว่า ขณะที่ตายไป วิญญาณหลุดออกจากร่าง ได้ไปเที่ยวเมืองนรก เที่ยวเพลินไปกระทั่งเห็นแม่ชีรูปหนึ่งที่รู้จักมาตามให้กลับเข้าร่าง ก็ตามไป แล้วก็เข้าร่างจึงฟื้น ฟื้นแล้วก็ไปหาแม่ชีรูปนั้น แม่ชีก็บอกว่าไม่รู้เรื่องว่าตาย [แล้วก็ไม่ได้นั่งสมาธิถอดจิตไปหา] แต่ก็ยังนึกถึงอยู่ นั่นก็คล้ายๆกับ “วิญญาณครู” ไปหา

ส่วนการที่ครูส่งกำลังมากระตุ้นจิตใต้สำนึกหรือบอกความรู้ในใจ เราเรียกว่าประสิทธิ์วิชา มีผลคล้ายกันกับการที่เราเรียนในห้องเรียนแล้วจบมาก็นำความรู้ไปใช้ ครูที่ประสิทธิ์ประสาทให้ก็เป็นเหมือนจิตใต้สำนึกของเราเอง แล้วเราเลือกที่จะใช้หรือไม่ใช้ ซึ่งผู้ที่มีการศึกษาก็มีเกือบด้วยกันทั้งนั้นแต่ไม่รู้ตัว

โดยทั่วไปแล้วครูที่จะประสิทธิ์ได้มากจะเป็นครูดุษฎีบัณฑิต และศาสตราจารย์ลำดับขั้นต่างๆ เพราะมี “วิชาศักดิ์” แต่ครูบางท่านถึงแม้ไม่มีวิชาศักดิ์ขั้นสูง ก็ส่งได้แรงเพราะมี “จิตวิญญาณครู” อันแรงกล้า ซึ่งบ้างก็เลือกที่จะประสิทธิ์ให้กับเฉพาะศิษย์ที่ตั้งใจเรียนหรือมีผลการเรียนดี ส่วนศิษย์ที่ไม่ตั้งใจเรียน มาเรียนสาย โดดเรียน โกงสอบ ก็อาจจะไม่ “ส่งวิชาความรู้” ให้มากนัก

ครูที่มีวิชาศักดิ์ท่านได้กำลังที่ส่งมาจากภพทิพย์ นับตั้งแต่ธาตุธรรม ประชุมขึ้นเป็นพระนิพพาน ประชุมขึ้นเป็นภพสาม ภพสามประชุมกามภพ กามภพประชุมสวรรค์ ประชุมโลก โลกประชุมประเทศ ประเทศประชุมสถาบันการศึกษา สถาบันการศึกษาประชุมขึ้นเป็นคณะ มีการกระจายแบ่งสิทธิ์, อำนาจ และกำลังอื่นๆ ในการรักษา และถ่ายทอดวิชาความรู้ ตามลำดับ โดยที่ บุญ บารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด เดชา ศักดิ์สิทธิ์ ก็มาจากเครื่องผลิตของธาตุธรรมแต่ละฝ่าย โดยผลิตและจ่ายให้ตามเงื่อนไขโปรแกรมปกครองธาตุธรรมมีกฎแห่งกรรมเป็นอาทิ

“สรรพวิชา” นั้นประชุมขึ้นจากสายธาตุสายธรรมมาแต่เดิมเป็นวิชชาของแต่ละฝ่าย โดยในสวรรค์จะมีครูวิทยาธรคอยรักษาวิชา ในโลกมนุษย์ก็มีครูอาจารย์คอยถ่ายทอด ผู้ที่ทำวิจัยค้นคว้าแล้วค้นพบเองส่วนใหญ่ธาตุธรรมจะส่งมาในละเอียดให้ได้รู้ หรือไม่ก็เป็นครูวิทยาธรดลจิตดลใจ โดยไม่มีสิ่งใดเป็นเรื่องบังเอิญ ยกตัวอย่างเช่น ฝ่ายมารโลก ส่งโรคไวรัสโควิด 19 มาระบาดในโลกมนุษย์ ฝ่ายพระนิพพานก็ส่งวิชชาจะแก้โรคนี้ให้กับมนุษย์ ก็ประมวลวิชชาหาทางแก้โรค เมื่อได้วิชชาแก้โรคแล้ว ก็จะส่งวิชชามาดลจิตดลใจแพทย์และนักวิจัยให้ค้นคว้าก้าวหน้าไป ในขณะที่ฝ่ายมารโลก ก็คอยกำบังไม่ให้ค้นคว้าสำเร็จ ต่างฝ่ายต่างส่งวิชชา ส่งฤทธิ์ ส่งเดช ประชันกันไป หากฝ่ายพระนิพพานประมวลวิชชาได้ และส่งลงมาถึงโลกมนุษย์สำเร็จ นักวิจัยก็ค้นพบยาและวิธีรักษาได้เป็นผลสำเร็จตามมา

ส่วนว่าถ้าครูมี “วิชาศักดิ์” เวลาประสิทธิ์ความรู้ในละเอียดจะแรงกว่า เพราะครูมีกำลังจากภพผู้เลี้ยงที่กอปรเป็นสถาบันการศึกษาซึ่งพระนิพพานประชุมขึ้นตามวิชชาของแต่ละภาคไม่ว่าฝ่ายพระพุทธเจ้า หรือฝ่ายมาร ครูที่มีวิชาศักดิ์ก็เหมือนมีเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ที่กำลังแรงและมีสัมปทานช่องความถี่ เวลาโทรก็ติดง่ายกว่า ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อครูผู้มีวิชาศักดิ์ประสิทธิ์วิชาให้กับลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็จะรับทราบได้ง่ายขึ้น คือจิตสำนึกลึกๆ จากทั่วไปที่มี 5% ก็เป็น 8 ถึง 12% ถ้าคนหนึ่งคนมีครูหลายคน ครูจะช่วยกันประสิทธิ์วิชา ให้มีความรู้ความสามารถในการดำรงชีวิต ถ้าครูเป็นคนดี เป็นสัมมาทิฐิ ศิษย์ก็มักจะได้ครูดีนั้นคอยเตือนอยู่ในจิตใต้สำนึกมากน้อยต่างกันไป คนหนึ่งคนที่ผ่านการศึกษาโดยมีครูไม่มาก และไม่หลากหลาย (เช่นเรียนสายวิทย์ มีแต่ครูวิทยาศาสตร์ หรือ คนที่เรียนหลายวิชาแต่มีครูเพียงคนเดียวสอน) ก็จะมีผลต่อความรู้ความสามารถที่ได้จากการประสิทธิ์วิชาจากครู

ส่วนสิ่งตอบแทนสำหรับครูก็คือ ครูมีเกียรติ และมีรายได้พอเลี้ยงชีพจากการถ่ายทอดความรู้ตามหน้าที่ ดังนี้ครับ.

พิรจักร ทิศุธิวงศ์ สุวพรรดิเดชา

28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

www.meditation101.org