9. ความเป็นมาของธาตุธรรม
เรื่องราวความเป็นมาของธาตุธรรม (ฉบับพิสดาร)
โดย พิทยา ทิศุธิวงศ์
วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
www.meditation101.org
(1) มีคนขอผมมา ให้รจนาความนี้ขึ้น
เพราะเห็นว่าผมรจนาความขึ้นบางส่วนแล้วเป็นภาษาอังกฤษอยู่ในเว็บไซท์ www.meditation101.org แต่ยังไม่ครบถ้วน ก็อยากจะให้ขยายเรื่องเพิ่มขึ้นอีก
เห็นว่าผมยังเป็นฆราวาสอยู่ ถ้าเปิดเผยความนี้ ก็ไม่มีความผิด
ถ้าหากเป็นพระสงฆ์แล้ว ก็คงจะหมิ่นเหม่ อาจโดนเอาโทษได้
ก็ขอรจนาเพิ่มเติมขึ้นโดยสังเขปไม่ลงรายละเอียดทั้งหมด
เพื่อให้ครูบาอาจารย์ที่ทรงญาณทั้งหลาย ท่านได้ตรวจดูในญาณ และขยายความเอาเอง
เท่าที่รู้เห็นเพิ่มเติมเองในญาณ เพื่อประดับสติปัญญา และสั่งสอนลูกศิษย์สืบไป อนึ่ง
ข้าพเจ้า พิทยา ทิศุธิวงศ์ (Pittaya Wong) ได้รจนาเรื่องราวฉบับนี้ขึ้น
ตามเสียงแว่ว และตามการดลจิตดลใจจากผู้อื่น ไม่ได้รจนาขึ้นเพราะรู้ญาณแห่งตน
(2) เท้าความว่า
สมเด็จพระพุทธโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงเฉลยต้นกำเนิดความเป็นมาดั้งเดิมของสรรพสิ่งและสรรพสัตว์
ด้วยทรงเห็นว่า ไม่จำเป็นต่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน
เป็นความรู้ประดุจใบไม้ในป่าประดู่ ที่นอกเหนือจากใบไม้ในกำมือของพระองค์ แต่สมเด็จพระพุทธโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงเฉลยต้นกำเนิดของมนุษย์และสัตว์
โดยเนื้อหาอธิบายเฉพาะเมื่อโลกเกิดใหม่ขึ้นแต่ละครั้ง และมีเทพพรหมลงมาเสวยง้วนดิน
แต่มิได้ทรงเฉลยว่า ก่อนหน้านั้น พรหมมาจากไหน ดังนั้น ข้าพเจ้า พิทยา ทิศุธิวงศ์
จึงขออาสา เฉลยความดังนี้
(3) แรกเริ่มเดิมที
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่เลย มากาลครั้งหนึ่ง
ได้เกิดพยับแสง เหมือนวาวแดดอ่อนๆ เกิดขึ้นในท่ามกลางความว่างเปล่านั้น
อย่างไม่มีที่มาที่ไป เกิดขึ้นโดยบังเอิญก็ว่าได้ พยับแสงทิพย์อ่อนๆ นั้น
ได้ทำปฏิกิริยากับสภาพแวดล้อมที่ว่างเปล่า นานๆ ครั้ง รวมกันเข้า
ก็ทำให้เกิดมวลอ่อนๆ ขึ้นมา คล้ายๆ เซลจางๆ ที่โปร่งแสง เป็นทิพย์
ไร้รูปลักษณ์รูปร่างที่แน่นอน เวลาผ่านไปเนิ่นนานมากๆ
มวลนั้นก็หนาแน่นขึ้นอย่างอ่อนบาง และโดยบังเอิญ มวลนั้นก็ได้ขับเอาธาตุออกมาเป็นหย่อมๆ
คล้ายๆ กับการแบ่งเซลล์ แต่เป็นการแบ่งเอาธาตุที่อยู่ในมวลอ่อนๆ นั้นออกมาเป็นจุดเล็กๆ
คล้ายหยดหมึกหก รด ออกมาท่ามกลางความว่างเปล่า ได้แก่ (ก)
ธาตุเทา คล้ายตะกั่ว (ข) ธาตุขาว สะอาดคล้ายแก้วขาวใส (ค) ธาตุทอง คล้ายโลหะแวววาวสีทอง (ง) ธาตุเงิน คล้ายโลหะแวววาวสีเงิน /ทองคำขาว (จ) ธาตุทองแดง คล้ายโลหะแวววาว สีทองแดง / ทองชมพู (ฉ) ธาตุดำ คล้ายนิล
(4) เมื่อมวลธาตุอ่อนๆ
ที่คล้ายเซลล์อันเป็นทิพย์ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน ได้ขับเอาธาตุต่างๆ ออกมาแล้ว
มวลธาตุอ่อนๆ นั้น ได้คงสภาวะคล้ายๆ เลื่อมประกายรุ้งทิพย์จางๆ
นับจากนั้นเนิ่นนานมา ธาตุทั้งหมด จาก (ก) ถึง (ฉ) และ มวลธาตุประกายรุ้งทิพย์จางๆ
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการมีอยู่ทั้งหมด ก็เริ่มมีวิวัฒนาการ เมื่อทำปฏิกิริยา
กับสภาพแวดล้อม เนิ่นนานผ่านไปมากๆๆๆๆๆๆๆ จากนั้นมา จึงพัฒนาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง
เป็นตัว เป็นตน มีธาตุ มีธรรม มีเป็น มีไป มีชีวิตจิตใจขึ้นมา และแต่ละภาคก็มีภพอันเป็นที่อยู่เฉพาะของตัว
เปรียบเทียบได้กับ เชื้อราเล็กๆ ที่เจริญขึ้นจากหย่อมเล็กๆ และขยายตัวไปทั่ว
จนเกิดเป็นภพ หรือ “รัง” อันเป็นที่อยู่ขึ้นมา
(5) ธาตุธรรมทั้งหมดมีลักษณะคล้ายๆกัน
คือ มีพระพุทธเจ้า มีพระจักรพรรดิ มีกายสิทธิ์ มีวิชชา มียนตร์กลไก มีระบบการทำงาน
มีขั้นตอนต่างๆ อันเป็นทิพย์เป็นธรรม เพราะต่างฝ่ายต่างก็เลียนแบบกันและกันมา
แต่ต่างฝ่ายก็ต่างอยู่ จนกระทั่งมาถึงจุดที่ผ่านมาแล้วยาวนานมากๆๆๆๆๆๆๆ
ธาตุธรรมฝ่ายดำ ที่ดำเหมือนนิล หรือ “ภาคมาร” ก็คิดจะครองความเป็นใหญ่ขึ้นมา
อยากจะครอบครองธาตุธรรมทั้งหมด ตามนิสัยใจคออันเป็นพาล
ซึ่งเป็นธรรมดาของธรรมภาคมาร จึงแอบปรุงธาตุปรุงธรรม สะสมกำลัง
และคิดค้นวิชชาขึ้นมา วางแผนการร้ายต่างๆ เอาไว้มากมาย เพื่อเตรียมรบ และยึดธาตุธรรมเอาไว้ทั้งหมด
(หมายเหตุ: ณ ตอนนั้นยังไม่มีมนุษย์และสัตว์
มีแต่ภพภูมิละเอียดอันเป็นทิพย์เป็นธรรม)
(6) เมื่อธาตุธรรมฝ่ายดำ
ซึ่งมีลักษณะดำเงาแวววาวเหมือนนิล หรือ ภาคมารนั้น เริ่มดำเนินตามแผน
คือเข้ายึดครอง ภาคส่วนต่างๆ ของธาตุธรรมอื่นๆ ธาตุธรรมอื่นๆ จึงเริ่มรู้ตัวขึ้นมา
ต่างฝ่ายต่างก็ต่อต้านขัดขืน และสู้กันในทิพย์ในธรรมนั้น
แต่กำลังก็อ่อนกว่าธาตุธรรมดำ เพราะไม่ได้เตรียมสะสมกำลังเอาไว้
ธาตุธรรมดำจึงกินอนาเขตภาคอื่นๆเข้าไปได้มากเข้า จึงปรากฏดังที่เห็นว่า
จักรวาลนั้นมืดมิดเสียเป็นส่วนใหญ่ นี้เป็นส่วนหยาบที่สะท้อนให้เห็นถึงการเข้ายึดครองของภาคดำ
ซึ่งมีความมืดเป็นปกติ
(7) เมื่อภาคอื่นๆ
(ต่อไปนี้จะขอเรียกธาตุธรรมสีต่างๆ ว่าเป็น “ภาค”)
เริ่มรู้ตัวแล้วว่าถูกภาคดำรุกราน จึงประชุมในหมู่พวกของตนเอง
เพื่อหาทางรับมือและต่อสู้ มิฉะนั้นจะต้องตกเป็นเบี้ยล่างให้กับภาคดำ อาจถูกครอบงำ
ครอบครอง และถูกกลืนไปในที่สุด โดยภาคแก้วขาวใส เป็นฝ่ายนำ มีการวางแผน
มีการแบ่งงาน มีการประชุม มีการวางกำลัง เพื่อหักหาญภาคดำลงให้จงได้
โดยภาคแก้วขาวใส แบ่งแยกทีมเป็นสีต่างๆ เช่น แดง เขียว เหลือง น้ำเงิน ม่วง ฯลฯ (คล้ายๆ
สเปคตรัมของแสง) ซึ่งแต่ละสีก็มีเจ้าสี หรือพระจักรพรรดิประจำสีปกครอง
ส่วนหัวหน้าใหญ่สุดของภาคขาว ก็คือ องค์พระต้นธาตุต้นธรรมภาคขาว
และรองลงมาใกล้ชิดคือ องค์พระต้นธาตุต้นธรรมจักรพรรดิภาคขาว
(8) ส่วนภาคอื่นๆ
ก็มีแผนการลับเฉพาะของตนเองอีกต่างหาก ที่แยกจากการสถาปนาความร่วมมือกับภาคขาวอย่างหลวมๆ
และภาคอื่นๆ ก็มีองค์พระต้นธาตุต้นธรรม องค์ต้นพระพุทธเจ้า องค์ต้นพระจักรพรรดิ
ที่ปกครองภาคของตนเอง คล้ายๆ กับภาคขาว แต่มีแตกต่างกันบ้าง เช่นบางภาค
มีพระองค์ต้นอยู่ 2 พระองค์ คือฝ่ายพระพุทธเจ้า
กับฝ่ายพระจักรพรรดิ ส่วนภาคทอง มี 3 พระองค์
คือองค์พระต้นธาตุต้นธรรม พระองค์ต้นพระพุทธเจ้า และพระองค์ต้นจักรพรรดิ
(สลับผลัดเปลี่ยนกันดำรงตำแหน่ง)
(9) ทีนี้ ภาคขาวก็มาดำริว่า
ภาคดำเขาเตรียมการมานาน มีกำลังมาก การจะสู้กับภาคดำให้มีประสิทธิภาพ
จะต้องสร้างกายมนุษย์ขึ้นมา (ปกติสู้กันด้วยกายที่เป็นทิพย์เป็นธรรม)
จึงสร้างกายมนุษย์ขึ้นมา มีลักษณะมหาบุรุษ คล้ายกายพระพุทธเจ้า มีความละเอียดอ่อน
คล้ายๆ กับประภัสสราพรหมที่มาอยู่บนโลกมนุษย์ คือกึ่งหยาบกึ่งละเอียด
แล้วภาคขาวก็อาศัยกายมนุษย์นั้นปะทะสู้รบกับฝ่ายดำ ก็ได้ผลดีเป็นอันมาก เพราะปกติ
ถ้ากายที่เป็นทิพย์เป็นธรรมสู้กัน หากเสียท่าโดนปะทะดับ ก็จะดับสิ้นไปได้ง่าย
ไม่เหมือนกายที่หยาบ ถ้าเสียท่า ดับในญาณ แต่กายมนุษย์นั้นก็ยังมีชีวิตอยู่
สามารถต่อญาณกลับเข้าไปใหม่ และสู้กันต่อไปได้ ฝ่ายดำเห็นว่าจะไม่ได้การ
จึงคิดวิชชา (เหมือนการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์) ขึ้น
เพื่อแทรกแซงการทำงานกายมนุษย์ของภาคขาว
และจากเดิมที่กายมนุษย์ภาคขาวถูกควบคุมข้างในสุดโดยภาคขาว ก็มีกายมนุษย์ที่ภาคดำควบคุมด้วย
(10) จากนั้นกายมนุษย์ก็เริ่มผันแปรไป
คือหยาบลงเรื่อยๆ จากที่เป็นกายมหาบุรุษคล้ายพระพุทธเจ้า ก็มาคล้ายพรหม
คล้ายกายเทวดา หยาบๆ ลงไป จึงมาเป็นมนุษย์ มีเพศหญิง เพศชาย มีเนื้อหนัง เลือด มีเกิด
แก่ เจ็บ ตาย มีรูปร่างหน้าตาหลากหลาย ทั้งรูปงาม รูปอัปลักษณ์ อวัยวะครบถ้วน
และที่พิกลพิกาล ผิดเพี้ยนไปจากลักษณะมหาบุรุษดั้งเดิมเป็นอย่างมาก ฯลฯ
จนกระทั่งมีภพภูมิมนุษย์ มีบ้านเรือน มีข้าวของเครื่องใช้ มีอาหารหยาบๆ
ต่างจากเดิมที่อยู่คล้ายๆ ยุคของประภัสสราพรหม มีรัศมีในตัว ตอนลงมาอยู่ในโลกมนุษย์ที่เกิดใหม่
นอกจากนี้แล้วภาคดำก็ประมูลฤทธิ์สู้กับภาคขาว สร้างกฎแห่งกรรม มีกฎไตรลักษณ์ มีภพ
มีภูมิต่างๆ มีนรก มีสวรรค์ มีพรหมโลก มีวัฏสงสาร มีนิพพานขั้นต่างๆ จนกระทั่งมาเป็นอย่างในปัจจุบัน
แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดกันมาเนิ่นนาน มีความสุข
ความทุกข์ สารพัดหลากหลายรูปแบบ โดยต่างฝ่าย ต่างส่งฤทธิ์ของตน ภาคดำ
ก็ส่งฤทธิ์ให้เกิดความทุกข์ ความเสื่อม ความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตนอันแท้จริง
ส่วนภาคขาว ก็ส่งฤทธิ์ให้เกิดความสุข ความดีงาม ความเจริญ
เหมือนคนสองคนงัดข้อกันอยู่อย่างนี้ ภาคมารก็ส่งกิเลส โลภ โกรธ หลง
กระตุ้นใจมนุษย์และสัตว์ รวมถึง ปรุง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
ทำให้มนุษย์คิด พูด ทำ อกุศล ได้บาป ทาง กาย วาจา ใจ แล้วไปอบาย ทุกข์ทรมาน
ส่วนภาคขาวก็ส่ง ศีล สมาธิ ปัญญา คุณธรรมต่างๆ เข้ามาในใจ มนุษย์และสัตว์ ให้ คิด
พูด ทำ กุศล ได้บุญ ทาง กาย วาจา ใจ แล้วไปสุคติ จนกระทั่งถึงนิพพาน
แต่ภาคมารก็เหมือนนักเลง บางครั้งก็ยกพวกจาก “มารโลก” ซึ่งเป็นรังของภาคดำ เข้าไปรุกรานเมืองนิพพาน
ของภาคขาว พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ที่บารมีอ่อนๆ กำลังสู้ไม่ได้
ก็ต้องให้พระพุทธเจ้าองค์เก่าๆแก่ๆ บารมีแก่กล้าเข้าช่วยปกป้อง
(11) ธาตุธรรมภาคต่างๆ
ต่อกรกันอย่างนี้เรื่อยมาเนิ่นนาน จนกระทั่งหลวงพ่อสด หรือหลวงพ่อวัดปากน้ำ
องค์ต้นธาตุต้นธรรมของภาคขาว อวตารลงมาเกิดในประเทศไทย แล้วบรรลุวิชชาของฝ่ายท่าน
แล้วก็รวบรวมสมาชิกทีมงานของท่าน ซึ่งบ้างก็เป็นพระพุทธเจ้า
บ้างก็เป็นพระจักรพรรดิ ลำดับขั้นต่างๆ อวตารลงมาเกิด แล้วมาประชุมทำวิชชากันใน “โรงงานทำวิชชา”
เข้าญาณตลอด 24 ชั่วโมง โดยอาศัยกายมนุษย์เป็นฐาน เข้าญาณ
สู้กับกายมารที่เป็นทิพย์เป็นธรรม ภาคอื่นๆ เห็นดังนั้นก็ยังเล็งแล ใคร่ครวญอยู่ว่าจะเป็นเยี่ยงไร
จะชนะหรือไม่ หลวงพ่อสดก็ได้เชิญภาคอื่นๆ มาร่วมด้วยช่วยกัน
เท่าที่ท่านรู้จักและไว้วางใจ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)