XYZ. อัตชีวประวัติของ พิรจักร ทิศุธิวงศ์

พิรจักร” คือใคร?

พิรจักร ทิศุธิวงศ์” (Mr. Pirajak Tisuthiwongse) มีนามเดิมและนามปากกาว่า พิรจักร สุวพรรดิเดชาพิทยา ทิศุธิวงศ์, Pittaya Wong และ Pirajak T.S.  พิรจักรเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2518 เป็นนักประพันธ์-นักแปล และนักธรรมเศรษฐศาสตร์ ผู้สืบสายธรรมในสาย วิชชาพระจักรพรรดิ และวิชชาธรรมกาย โดยอาจกล่าวได้ว่าเป็น “นักวิชชาการ” 

พิรจักร เป็นบุตรหลานของเจ้าภาพ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จึงมีโอกาสได้ไปวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ตั้งแต่วัยเด็ก อายุประมาณ 10 ขวบ ในวัยเยาว์ พิรจักร เข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี (ACT) เริ่มจากชั้นประถมศึกษา ถึงมัธยมศึกษาตอนต้น (ป.ถึง ม.3) แล้วย้ายไปเรียนต่อที่โรงเรียนอัสสัมชัญ พาณิชยการ (ACC) ในชั้นมัธยมตอนปลาย (เทียบเท่า ม.ถึง ม.6) เมื่อเรียนจบแล้ว พิรจักร เดินทางไปเรียนต่อระดับอุดมศึกษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2536 ซึ่งพิรจักร มีหมู่ญาติหลายครอบครัวปักหลักอาศัยและทำงานอยู่ที่นั่น โดยส่วนใหญ่ได้โอนสัญชาติเป็นชาวอเมริกันแล้ว

ในตอนเริ่มต้น พิรจักร เรียนภาษาอังกฤษและวัฒนธรรมอเมริกันกับคอร์ส American Culture and Language Program (ACLP) ที่ California State University, Los Angeles เมื่อเรียนภาษาจบแล้ว ได้ย้ายไปเรียนต่อที่ Pasadena City College แล้วโอนหน่วยกิตไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ที่ University of Washington, Seattle. 

ระหว่างที่เรียนอยู่ Pasadena City College พิรจักร ได้รับการแนะนำให้ไปทำบุญที่ “วัดพุทธเมย์วูด” ซึ่งเป็นสาขาของวัดพระธรรมกาย ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย และได้รับการชักชวนให้บรรพชาอุปสมบท อบรมภาคฤดูร้อนเป็นรุ่นแรกสุด ของวัดพุทธเมย์วูด (ปัจจุบันได้ย้ายสถานที่ใหม่ และตั้งชื่อใหม่เป็น วัดพระธรรมกายแคลิฟอร์เนีย) การบวชในครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นให้พิรจักรเข้ามาทำงานให้กับสาขาของวัดพระธรรมกายในสหรัฐอเมริกา ในฐานะเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร และเมื่อพิรจักรได้ย้ายไปศึกษาต่อที่เมืองซีแอตเทิล มลรัฐวอชิงตัน พิรจักร ได้มีส่วนร่วมในการก่อตั้ง ศูนย์ปฏิบัติธรรมซีแอตเทิล (ปัจจุบันได้ย้ายสถานที่ใหม่ และตั้งชื่อใหม่เป็น วัดพระธรรมกายซีแอตเทิล) เมื่อตั้งศูนย์ฯ ได้แล้ว และจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในปี พ.ศ. 2542  พิรจักร ได้เดินทางกลับไปยังมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อทำงานให้กับวัดพระธรรมกายแคลิฟอร์เนีย ในฐานะเจ้าหน้าประจำ แล้วกลับไปฝึกอบรมกับทางวัดพระธรรมกาย ประเทศไทย จากนั้นไม่นาน ก็ถูกโอนตัวกลับมาเป็นเจ้าหน้าที่ประจำวัดพระธรรมกายซีแอตเทิล อีกครั้งดังเดิม โดยพิรจักรมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการเจริญภาวนา แต่กลับเกิดอาการ “วิปลาส” จากการฝึกสมาธิ จึงต้องเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อรักษาตัวที่วัดพระธรรมกาย ประเทศไทย เป็นระยะเวลา 3 เดือน ก่อนที่ทางวัดจะส่งตัวกลับคืนให้กับครอบครัว พร้อมทั้งปลดออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่ประจำขององค์กร

นับตั้งแต่มีอาการวิปลาส แล้วกลับมาอยู่เมืองไทย ชีวิตของพิรจักรก็ลุ่มๆ ดอนๆ มีอาการซึมเศร้า และต้องพบจิตแพทย์อยู่เป็นระยะๆ พร้อมรับการรักษาด้วยการทานยาตามแพทย์สั่ง แต่พิรจักร ก็เดินทางไปวัดพระธรรมกาย จังหวัดปทุมธานี แบบไปๆกลับๆ ตามโอกาส กระทั่งสภาพจิตใจดีขึ้น และเริ่มยอมรับได้ว่าตนมีอาการผิดปกติทางจิต ต่อมาพิรจักรได้สอบเข้าเรียนต่อระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชีวิตจึงเริ่มกลับเป็นปกติ แต่จิตใจก็ยังฝักใฝ่วัดพระธรรมกายอยู่มาก ระหว่างเรียนปริญญาโทได้ไม่นาน ก็ได้รับเชิญให้กลับไปทำงานที่วัดพระธรรมกายอีก ในฐานะ "นักเขียนแทน" (Ghostwriter) ให้กับท่านธัมมชโย สังกัดมูลนิธิตะวันธรรม ซึ่งเป็นองค์กรเครือข่ายของวัดพระธรรมกาย รวมถึงเป็นล่ามและนักแปลภาษาอังกฤษประจำองค์กร เป็นเวลาประมาณ 5-6 ปีเศษ กระทั่งเริ่มอิ่มตัว ประจวบกับพิรจักร ได้จบการศึกษาระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พอดี ซึ่งใช้เวลาเรียนถึง 7 ปี เพราะเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ประกอบกับมีความล่าช้าในการทำวิทยานิพนธ์ แต่พิรจักรก็สามารถจบการศึกษาในที่สุด โดยสอบผ่านการปกป้องวิทยานิพนธ์ จากนั้นไม่นานจึงลาออกจากเครือองค์กรวัดพระธรรมกายทั้งหมด และลาออกจากการเป็นศิษย์และสมาชิกวัดพระธรรมกาย แล้วกลับมาบรรพชาอุปสมบทที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เพื่อแสวงหาการเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยมีท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญมหาเถระ) เป็นพระอุปัชฌาย์

ในช่วงที่อยู่วัดปากน้ำนี้เอง พิรจักร ได้เริ่มรู้จักคุ้นเคยกับครูวิชชาวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มากขึ้น แต่พิรจักรก็ได้ย้ายออกจากวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เพื่อไปประจำอยู่ ณ วัดแห่งหนึ่งบนเขตยอดดอยแม่ตื่น-นันทบุรี ซึ่งเดิมเป็นเขตอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแสวงหาความสงบวิเวกในการปฏิบัติธรรม ห่างไกลจากสังคมเมือง แต่ทางวัดเริ่มมีการก่อสร้าง และมีความจำเป็นต้องระดมทุน พิรจักรจึงย้ายไปอยู่ ณ วัดสาขาของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ อีกแห่งในจังหวัดเชียงราย เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ขณะที่ดำรงเพศภาวะพระภิกษุนี้เอง พิรจักร ได้เริ่มทำงานเขียน และงานแปล เกี่ยวกับแวดวงวิชชาธรรมกาย โดยไม่นับรวมเอาผลงานของวัดพระธรรมกาย เข้ามาข้องเกี่ยวใดๆทั้งสิ้น เพราะพิรจักรต้องการสร้างผลงานเป็นของตนเองบ้าง แต่เมื่อพิรจักรปฏิบัติธรรม ก็มีอาการวิปลาสกำเริบขึ้นอีก จิตแพทย์จึงแนะนำให้ลาสิกขา เป็นเหตุให้พิรจักรต้องย้ายกลับมาพำนักอยู่ที่บ้านพร้อมครอบครัวในกรุงเทพฯ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 เป็นต้นมา แม้จะลาสิกขาแล้ว พิรจักรก็ยังคงยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์เหมือนพระภิกษุ ซึ่งพิรจักรสามารถรักษาพรหมจรรย์มาได้ตลอดอายุขัย นับตั้งแต่เกิดกระทั่งถึงปัจจุบัน สาเหตุเพราะพิรจักรมีความเชื่อว่า “กามคุณ” เป็นของไม่สะอาด และพิรจักรรู้สึกรังเกียจการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งพิรจักรเห็นว่าเป็นเรื่องสกปรก ซึ่งอาการดังกล่าวนี้เข้าข่าย Bipolar Disorder คือโรคอารมณ์สองขั้วของพิรจักร ที่มักจะคำนึงถึง “ความสะอาด-ความสกปรก”, “ความดี-ความชั่ว” แบบสุดโต่งอยู่เป็นประจำ

เมื่อลาสิกขาแล้วและอาการทางจิตของพิรจักรเริ่มกลับมาดีดังเดิมอีกครั้ง พิรจักรจึงเข้าทำงาน ณ บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป และไม่ได้ไปเยือนวัดพระธรรมกายอีก แต่ไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนครูวิชชาและสำนักวิชชาต่างๆ พร้อมทั้งสมัครเป็นสมาชิกสมาคมศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ ม.ส.จ. (สมาชิกเลขทะเบียนที่ พ3585) และขวนขวายทำบุญกับสาขาของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (วัดพระธรรมกายไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสาขาของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ) อย่างเช่นสำนักปฏิบัติธรรมสวนแก้ว จังหวัดราชบุรี และวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จังหวัดราชบุรี พร้อมทั้งอาศัยเวลาว่าง ทำงานเขียน งานแปล และดำเนินกิจกรรมเว็บไซท์ Meditation101.org มาเป็นเวลานานหลายปี โดยค่อยๆทำทีละเล็กทีละน้อย แต่ทำอย่างต่อเนื่องตลอด 7 ปี เปรียบเสมือนนกน้อย ที่คาบกิ่งไม้ใบหญ้า ทีละกิ่งๆ มาสานต่อเติมกันกระทั่งกลายเป็นรวงรังใหญ่ คือเว็บไซท์ที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับแวดวงวิชชารวมกันมากกว่า 1000 หน้ากระดาษ โดยที่พิรจักร อาศัยเงินรายได้จากการทำงานบริษัท มาเป็นค่าใช้จ่ายในการเปิดเว็บไซท์ และไม่เรี่ยไรรับเงินบริจาคให้กับตนเองเลย แต่มีรายชื่อองค์กรการกุศลที่พิรจักรสนับสนุนอยู่ และเปิดโอกาสให้ผู้ศึกษาเว็บไซท์ สามารถร่วมบริจาคให้องค์กรการกุศลเหล่านั้นได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านพิรจักร เพราะพิรจักรมีมโนปณิธานที่จะอุทิศตนให้กับการทำงาน ด้วยนโยบายเปิด “โรงธรรมทาน” ที่ปรุง “อรรถและธรรมแบบบุฟเฟต์” แจกจ่ายเลี้ยงคนทั่วโลก โดยไม่หวังเงินกำไรตอบแทน

เหตุการณ์ที่สำคัญในชีวิตของพิรจักร เกิดขึ้นเมื่อพิรจักรได้ลาออกจากการเป็นศิษย์วัดพระธรรมกาย มาแล้ว และได้ลาสิกขาจากการบรรพชาอุปสมบทกับทางวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พิรจักรรู้สึกเป็นทุกข์กับอาการวิปลาส และผลข้างเคียงจากฤทธิ์ยาจิตเวช จึง “อธิษฐานลาพุทธภูมิ” ซึ่งพิรจักรเคยอธิษฐานตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เมื่อครั้งที่ยังทำงานให้กับวัดพระธรรมกาย สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการลาพุทธภูมิก็คือ อาการวิปลาสซึ่งทำให้พิรจักรต้องทนทุกข์กับการต่อสู้ระหว่างความดี และความชั่ว ในใจตนเองมาโดยตลอด ได้กลับกลายเป็นว่า “ฝ่ายดี” ในใจของพิรจักร ได้เข้าปกครองใจของพิรจักรเอาไว้ได้ และ “ข่ม” ฝ่ายชั่วเอาไว้ได้ทุกครั้งไป นับแต่นั้นมา โรคซึมเศร้าของพิรจักรก็หายไป โดยไม่ต้องรับประทานยาแก้โรคซึมเศร้า และความขัดแย้งในใจก็หมดไป แต่พิรจักรก็ยังคงต้องพบจิตแพทย์อยู่เป็นระยะๆ และรับประทานยาทางจิตเวชเป็นประจำทุกวัน นอกจากนี้อาการวิปลาสของพิรจักร ยังเป็นสาเหตุให้เกิดปรากฎการณ์ทาง “วิชชาการ” อยู่เรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่นการค้นพบ “ทฤษฎีเวลา” ซึ่งพิรจักรเป็นคนแรกในโลกที่นำเสนอว่า “ความเร็วของเวลา” นั้นมีอัตราเท่ากับความเร็วเฉลี่ยของอิเลคตรอน ที่หมุนรอบนิวเคลียส ในสภาวการณ์แห่งเวลา หนึ่งๆ ซึ่งพิรจักรได้เรียกสิ่งนี้ว่า “ทฤษฎีไทม์แมชชีน” (เผยแพร่หลักการทางเฟสบุ๊ค ในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2561) นอกจากนี้พิรจักรยังเคยฝันเห็นอนาคตของตนเองอยู่เรื่อยๆ และได้อธิบายว่า เป็นการรั่วไหลของ “โปรแกรมกรรม” และยังมีมโนทัศน์ และหลักการ ทางธรรมเศรษฐศาสตร์, ปรัชญา และวิทยาศาสตร์ อื่นๆ ที่พิรจักรได้เรียบเรียง และรวบรวมเอาไว้ในเว็บไซท์ของเขา

สำหรับท่านใด ที่ประสงค์จะติดต่อ พิรจักร เพื่อสอบถาม หรือแสดงความคิดเห็น ท่านสามารถติดต่อได้ตามข้อมูล contact ที่อยู่ในเว็บไซท์ www.meditation101.org หรือช่องทางที่สะดวกที่สุดคือทาง Facebook Fan Page เพื่อสมัครเป็นเพื่อนกับพิรจักรได้ที่ www.facebook.com/Meditation101.org